วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เทวดาประจำตัว



http://www.facebook.com/mantradeity
เป็นความเชื่อส่วนบุคคล กรุณาใช้วิจารณญานในการอ่าน

ภพภูมิของเทพ-เทวดามีทั้งหมด ๖ ชั้นนับจากโลกมนุษย์ขึ้น
ไป จะอยู่ในสภาวะหรือมีสภาพร่างกายและทุกอย่างเป็นทิพย์ทั้ง
หมด(อากาศธาตุ) จะไม่มีรูปร่างที่จับต้องได้ด้วยกายหรือมอง
เห็นได้ด้วยตาเนื้อของมนุษย์ได้ เราจะรู้เห็นและสัมผัสได้โดย
ทางจิตเท่านั้นและจะต้องเป็นจิตที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่าง
ดีถึงขั้นที่เรียกว่าได้
" อภิญญาจิต "

ภพภูมิของเทพเทวดานั้นมี

แต่เสวยและรับแต่ความสุข ความเกษมสำราญแต่เพียงอย่าง
เดียวไม่มีความทุกข์ยากลำบากอะไร เพราะอยากจะได้หรืออยาก
จะมีอะไรแค่ทำการนึกคิดเอาก็ได้สมประสงค์สมปรารถนา
ทุกอย่าง เทพเทวดาก็มีอารมณ์มีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ
หลง มีครอบครัว มีพ่อแม่ มีลูกมีหลานเหมือนกับมนุษย์
ทุกอย่าง เทพเทวดาก็มีทุกข์เหมือนกัน มีตอนที่รู้ว่าบุญใกล้จะ
หมดแล้วจะต้องลงมาเกิดยังโลกมนุษย์และทุกข์มากๆ ถ้ามาเกิด
ยังโลกมนุษย์แล้วไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะการที่ได้มาเกิดเป็น
มนุษย์นั้นสมารถทำตัวเอง ศึกษาหลักธรรมแล้วปฏิบัติฝึกจิตของ
ตนเองให้หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้



เทพเทวดาเหล่านี้มาจาก

ไหน? ก็เป็นดวงจิตดวงวิญญาณที่มาจากมนุษย์ที่ตายแล้วและ
เป็นมนุษย์ที่มีทาน มีศีล มีภาวนา(ยังไม่สำเร็จฌาน)และมีธรรม
เพราะผลของบุญกุศลที่ได้ทำมานี้ จะส่งผลให้จิตของเขาไปเกิด
เป็นเทพเทวดา จะไปเกิดที่ชั้นไหนสูงหรือไม่ จะไปเกิดกับ
ครอบครัวกับพ่อแม่คู่ไหนบนสวรรค์นั้น ก็ขึ้นอยู่กับผลของบุญ
กุศลที่ได้กระทำไว้ตอนเป็นมนุษย์นั้นไปสมพงษ์หรือพอดีกับพ่อ
แม่ที่เป็นเทพเทวดาคู่ไหนและบนสวรรค์ชั้นไหนอีกที ......
การลงมาเกิดยังโลกมนุษย์ของเทวดานั้นมีด้วยกันหลาย
สาเหตุ เท่าที่รู้และจากประสบการณ์ที่ทำงานนี้มาก็มี ......

๑. หมดบุญหรือหมดอายุขัย

๒. ทำผิดกฎของสวรรค์

๓. ถูกส่งให้ลงมาทำหน้าที่ยังโลกมนุษย์

สวรรค์(ตามหลักศาสนาพุทธ)มีทั้งหมด ๖ ชั้น(ชั้นของเทพเทวดา)โดยมีดังนี้ ......

๑. ชั้นที่ ๑ เรียกชั้น จาตุมหาราชิกา
มีอายุ ๙ ล้านปีมนุษย์

๒. ชั้นที่ ๒ เรียกชั้น ตาวติงสา หรือ ดาวดึงส์ มีอายุ ๓๖ ล้านปีมนุษย์

๓. ชั้นที่ ๓ เรียกชั้น ยามา มีอายุ ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์

๔. ชั้นที่ ๔ เรียกชั้น ตุสิตา หรือ ดุสิต มีอายุ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์

๕. ชั้นที่ ๕ เรียกชั้น นิมมานรตี
มีอายุ ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์

๖. ชั้นที่ ๖ เรียกชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี
มีอายุ ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์

เมื่อหญิงชาย(พ่อ-แม่)ยังโลกมนุษย์ได้ร่วมหลับนอนกัน
เชื้ออสุจิของชาย(พ่อ)เข้าผสมไข่ของหญิงแล้ว มีดวงจิตของ
เทพเทวดาองค์หนึ่งองค์ใดได้หมดบุญจากสวรรค์ลงมาผสม
(ปฏิสนธิวิญญาณ) มาร(เทพบุตรมาร)ก็ตามลงมาผสมด้วยอีก
เพื่อขัดขวางการสร้างบุญบารมีของเทพเทวดาตนนี้

พ่อแม่ พี่
น้องหรือเพื่อนๆที่อยู่บนสวรรค์ด้วยกันอย่างใดอย่างหนึ่งก็ลงตาม
มาผสมด้วยหนึ่งดวงจิต เพื่อดูแลให้ความช่วยเหลือปกป้องเรา
ทุกเรื่องจากการกลั่นแกล้งของพวกมาร ตามมาด้วยความรักและ
ความเป็นห่วงตลอดช่วงอายุของการเกิดมาเป็นมนุษย์ของเรา
เรียกเทพเทวดาเหล่านี้ว่า " เทวดาประจำตัว "
แต่พอถึงเวลาเข้า
จริงๆแล้วเทพเทวดาเหล่านี้กลับช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้ เพราะมี
พลังน้อยกว่าพวกมาร ก็ได้แต่ยืนดูเราห่างๆช่วยเหลืออะไรเราไม่
ได้เวลาเราตกทุกข์ได้ยากเกิดความลำบาก


ถ้าหากเทพเทวดา

ประจำตัวของใครเป็นผู้หญิงจิตใจและลักษณะอาการของมนุษย์
คนๆนั้นก็จะออกไปลักษณะทางผู้หญิง ถ้าเป็นร่างของมนุษย์
ผู้ชายก็จะเป็น กะเทย และถ้าหากเทพเทวดาประจำตัวของใคร
เป็นผู้ชายจิตใจและลักษณะอาการของมนุษย์คนๆนั้นก็จะออกไป
ลักษณะทางผู้ชายเหมือนกัน ถ้าเป็นร่างของมนุษย์ผู้หญิงก็จะ
เป็น ทอม การที่มนุษย์คนไหนเป็นทอมหรือกระเทยนั้น ก็มี
สาเหตุมาจากผลของกรรมในอดีตชาติและมาจากเหล่าเทพเทวดา
ที่ทำผิดกฎสวรรค์ด้วยเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/f2/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7-120674.html

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556



ตำนานเทพแห่งศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ศาสนาพราหมณ์มีการนับถือเทพหลายองค์ ได้แก่ พระวิษณุ พระศิวะ และพระพรหม เหตุผลที่สำคัญก็คือเทพเจ้าทั้งหมดมีฤทธานุภาพสามารถบันดาลทุกข์สุขให้กับมนุษย์บนพื้นโลกนั่นเอง สำหรับผู้ที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ที่สุดจะมีชื่อเรียกว่า “ลัทธิไศวนิกาย” ส่วนผู้ที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ที่สุด มีชื่อเรียกว่า “ลัทธิไวษณพนิกาย” และผู้ที่ให้ความเคารพนับถือเทพเจ้าพร้อมกันทั้ง 3 องค์ มีชื่อเรียกว่า “ตรีมูรติ”


• พระศิวะหรือพระอิศวร : เทพผู้ทำลายและสร้างโลก • ในครั้งแรกสุด พระพรหมได้เป็นผู้สร้างโลกและสร้างจักรวาลขึ้นมา แต่ก็ได้เกิดปัญหามากมายขึ้นบนโลกมนุษย์ พระศิวะจึงได้ทำลายโลก พอในเวลาต่อมาพระศิวะ ก็ได้มีการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ โดยสร้างพระนารายณ์ขึ้นมาเป็นผู้ดูแลรักษาด้วย • ลักษณะของพระศิวะ มี 1 เศียร 4 กร 3 พระเนตร ซึ่งพระเนตรส่วนที่ 3 นั้นจะอยู่กึ่งกลางหน้าผาก จะทรงนุ่งหนังกวาง แล้วยังมีสร้อยสังวาลเป็นงู ส่วนพระหัตถ์ทรงตรีสูร ทรงโคนนทิเป็นพาหนะ ให้สังเกตดูหากได้พบรูปปั้นโคนนทิ อยู่บริเวณทางเดินที่จะต้องเข้ามายังปราสาท หรือมีรูปโคนนทิอยู่ในปราสาท นั่นหมายถึงว่าได้มีการสร้างปราสาทแห่งนั้นเพื่ออุทิศแด่พระศิวะ • นอกจากนี้ พระศิวะยังสามารถกำหนดโชคชะตาของมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกโดยวิธีการร่ายรำที่มีชื่อเรียกว่า “ศิวนาฏราช” โดยเฉพาะที่สำคัญคือ ถ้าหากมีการร่ายรำด้วยความอ่อนช้อย ก็จะช่วยให้บรรดาเหล่ามนุษย์โลก
อยู่เย็นเป็นสุข



• พระวิษณุหรือพระนารายณ์ : เทพผู้รักษาคุ้มครองโลก • คำว่า “พระนารายณ์” หมายถึง ผู้ที่ได้เคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ คือกำลังบรรทมอยู่เหนือหลังพญานาคราช ชาวฮินดูที่นับถือไวษณพนิกาย จะเชื่อถือว่า พระวิษณุหรือพระนารายณ์นั้นจะต้องเป็นเทพสูงสุด หลักฐานตามคัมภีร์พราหมณ์ปุราณะ ได้กล่าวไว้ว่า พระศิวะได้ทรงสร้างโลกขึ้นมา แต่งานที่จะรักษาโลกให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขเป็นเรื่องที่ยากกว่า ดังนั้นพระศิวะจึงสร้างพระวิษณุ ให้มาเป็นผู้ช่วยรักษา ในช่วงเวลาที่สร้างโลกอยู่นั้น พระนารายณ์ก็จะอวตาร เพื่อจะลงมาช่วยปราบยุคเข็ญในโลกเป็นจำนวนมากถึง 10 ครั้ง ได้แก่ อวตารเป็น ปลา เต่า หมูป่า นรสิงห์ พราหมณ์ถือขวานเพชร พราหมณ์เตี้ย พระราม พระกฤษณะ พระพุทธเจ้า บุรุษที่ชือกัลลี ลัษณะของพระวิษณุ มี 4 กร ทรงถือคฑา สังข์ จักร และดอกบัว มีพาหนะเป็นครุฑ

• พระพรหม : เทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลและโลก • พระพรหมเป็นเทพเจ้าองค์แรกในตรีมูรติ (ได้แก่ พระพรหมณ พระนารายณ์ และพระอิศวร) ในตำราได้กล่าวไว้ว่า พระพรหมนั้นมีกายสีแดง มี 4 พระพักตร์ พระกร 4 ข้าง ถือคฑา ลูกประคำ หม้อน้ำ หรือคันศร ประทับอยู่บนอาสน์บัวบาน และทรงหงส์เป็นพาหนะ ชาวฮินดูที่นับถือไวษพณิกาย จะมีความเชื่ออยู่ว่าพระพรหมได้เกิดออกจากพระนาภีร์(สะดือ)ของพระนารายณ์ ในช่วงเวลาขณะที่กำลังบรรทมอยู่เหนือลำตัวพญานาคในทะเลน้ำนมหรือเกษียรสมุทร













• พระพิฆเนศวร : เทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ • ผู้ซึ่งเป็นโอรสของพระอิศวรและพระอุมาเทวี (ในภาคของนางทุรคา) เป็นพระเชษฐาของพระขันธกุมาร โดยมีเศียรลักษณะเป็นช้าง ตัวแทนแห่งเทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ มีผู้ที่ให้ความเคารพนับถือกันอย่างมากมาย ทรงหนูเป็นพาหนะ
















 • พระนางอุมาเทวี : ผู้ซึ่งเป็นเทวีแห่งความเมตตา • พระนางอุมาเทวี เป็นพระชายาของพระศิวะ มีลักษณะพิเศษ มี 2 ภาคอยู่ในร่างเดียวกัน ได้แก่ พระอุมาเทวี หรือ ปารพตี โดยจะมีความเรียบร้อยและความเมตตา แต่ในทางตรงข้ามก็จะมีลักษณะที่มีความรุนแรงและโหดร้าย เรียกว่า เจ้าแม่กาลีหรือทุรคา ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเกิดมาจากการที่มีเหล่าเทพได้พากันมาช่วยชุบขึ้นเพื่อช่วยกันปราบอสูร ส่วนโอรสของพระนางอุมาเทวีคือ พระขันธกุมาร ซึ่งเป็นเทพแห่งการทำสงคราม และ พระพิฆเนศวร เป็นโอรสของนางทุรคา เศียรจะมีลักษณะเป็นช้าง ซึ่งได้ถูกยกให้เป็นเทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ

• พระนางลักษมี : เทวีแห่งความมั่งคั่งและเทวีแห่งความดีงาม • พระนางลักษมีเป็นชายาของพระวิษณุ ตามหลักฐานของคัมภีร์รามายณะ ได้มีคำกล่าวถึงตอนที่เหล่าเทวดาและยักษ์ทั้งหลายทำการกวนเกษียรสมุทรเพื่อน้ำอมฤต ในการกวนเกษียรสมุทร ได้เกิดสิ่งวิเศษขึ้นมาถึง 14 อย่างและเกิดพระลักษมีขึ้นมาด้วย ครั้นพอพระนางได้ปรากฏกายขึ้นมา ทางด้านของพระนารายณ์หรือพระวิษณุในขณะนั้นยังทรงอวตารอยู่ในลักษณะของเต่าที่มีขนาดใหญ่ ได้เห็นพระนางลักษมี จึงรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาในทันที จึงได้แสดงถึงความมีอำนาจฤทธิ์เดชของพระองค์ ทำการบันดาลให้พระนางเข้ามาเป็นชายาของพระองค์ได้อย่างสมปรารถนา






• พระสุรัสวดี : ผู้ซึ่งเป็นเทวีแห่งภาษาและความรู้ • พระสุรัสวดีเป็นชายาของพระพรหม โดยหลักฐานจากคัมภีร์มัสยาปุราณะ ได้กล่าวไว้ว่า พระพรหมธาดาซึ่งเป็นผู้สร้างพระนางขึ้นมาเอง ต่อมาภายหลังได้เกิดหลงรักในธิดา และในครั้งนี้เองได้เกิดอภิเษกกับพระธิดาของพระองค์เอง • ลักษณะ : พระนางสุรัสวดี จะทรงมีพระวรกายขาว ประทับนั่งอยู่บนดอกบัว โดยพระบาทห้อยลงมายังเบื้องล่างข้างหนึ่ง ส่วนพระกรจะถือพิณ บางแห่งที่ได้พบเห็นจะมีเพียงพระพักตร์เดียว หรืออาจจะมี 4 พระพักตร์ก็ได้ แต่มี 4 พระกร แต่ในบางแห่งจะมีถึง 8 พระกร ทรงสวมส่าหรี สวมมงกุฎ และเครื่องประดับ ประทับบนหลังนกยูงทองคำ







• พระกฤษณะ : มหาเทพผู้แห่งความหลุดพ้น
ชี้ทางมนุษย์ไปสู่ความสุขสมบูรณ์ที่แท้จริง

พระกฤษณะ เป็นอวตารหนึ่งของ พระวิษณุ
ในมหากาพย์เรื่อง "มหาภารตะ" ซึ่งเป็นหนังสือที่ยาวที่สุดในโลก
บรรจุไว้ซึ่งเรื่องราวต่างๆมากมาย
และมีคัมภีร์เล่มหนึ่งบรรจุไว้ด้วย นั่นคือ "คัมภีร์ภควัทคีตา"




• ตำนานพระอาทิตย์ (พระสุริยะ): โดย ศรีมหาโพธิ์
            อาทิตย์ ตามคัมภีร์ไตรเพทของพราหมณ์ กล่าวว่ามีถึง ๘ องค์ มีชื่อต่างๆกันว่าเป็นโอรสของพระกัศปประชาบดี กับพระอทิติ แต่ได้ทอดทิ้งพระมรรตาณะฑะเสียองค์หนึ่ง คงนำไปเฝ้าพระเป็นเจ้าแค่ ๗ องค์ ต่อมาไกล่เกลี่ยตกลงกันได้ จึงยอมรับพระมรรตาณะฑะเป็นอาทิตย์ด้วย จึงรวมเป็นพระอาทิตย์ ๘ องค์


















ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.siamganesh.com